วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

การท่องเที่ยวทางน้ำในทวีปยุโรป

เวนิส นครแห่งสายน้ำ (Venice หรือ Venezie)

บทนำเวนิส (Venezia) เมืองที่โรแมนติกติดอันดับต้นๆ ของโลก เมืองที่ใช้เรือแทนรถ ใช้คลองแทนถนน” มีเกาะเล็กใหญ่กว่า 118 เกาะ  และมีสะพานเชื่อมมากกว่า 400 แห่ง เป็นเมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลก  ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลเอเดรียติกเป็นเมืองท่าโบราณเวนิส ใช้คลองในการคมนาคมมากที่สุด มีอาคาร ร้าน บ้านเมืองตั้งริมคลอง มีเรือบริการในการเดินทางไปในที่ต่างๆของเมืองมีการบริการท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ธรรมชาติของ 2 ฝั่งคลองโดยทางเรือ นับเป็นเมืองที่คลองมากกว่าถนนอีกเมืองหนึ่งของโลก  
ที่ตั้ง ภูมิประเทศ เวนิส(อังกฤษ: Venice)หรือเวเนเซีย(อิตาลี: Venezia)เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี มีประชากร 271,663 คน (ข้อมูลวันที่ 1 มกราคม 2547) เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก(Queen of the Adriatic),เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges), และ เมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light)
เมืองเวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลอาเดรียติก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ มีผู้อยู่อาศัยโดยประมาณ 272,000 คน ซึ่งนับรวมหมดทั้งเวนิส โดยมี 62,000 คนในบริเวณเมืองเก่า 176,000 คนในเทอร์ราเฟอร์มา (Terraferma) และ 31,000 คนในเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ
                           
                    File:Venezia-map 1-1220x900.png
ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์
           เมืองเวนิสเดิมเป็นชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณลากูนที่รวมตัวเข้าด้วยกันเพื่อต่อต้านอันตรายจากชนลอมบาร์ด,ชนฮั่น และกลุ่มชนอื่นที่เริ่มเข้ามารุกรานหลังจากอำนาจของจักรวรรดิโรมันตะวันตกเริ่มลดถอยลงในบริเวณทางตอนเหนือของอิตาลี ในเวลาระหว่างต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8 ชุมชนในบริเวณลากูนก็เลือกตั้งผู้นำคนแรกออร์โซ อิพาโต (Orso Ipato) ที่ได้รับการอนุมัติจากไบแซนเทียมและได้รับตำแหน่ง “Hypatos” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใช้ในจักรวรรดิไบแซนไทน์ที่เทียบเท่ากับ กงสุล และ “Dux” ที่ต่อมาแผลงมาเป็น ดยุค ออร์โซ อิพาโตเป็นบุคคลแรกที่ได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นดยุคแห่งเวนิส (Doge of Venice) คนแรก แต่ในหลักฐานจากคริสต์ศตวรรษที่ 11 กล่าวว่าชาวเวนิสประกาศให้เพาโล ลูชิโอ อนาเฟสโต  (Paolo Lucio Anafesto) เป็นดยุคในปี ค.. 697 แต่หลักฐานนี้ก็เป็นเพียงบันทึกของจอห์นผู้เป็นดีคอนของเวนิส แต่จะอย่างไรก็ตามดยุคแห่งเวนิสก็มีอำนาจอยู่ที่เอราเคลีย
            เวนิสเป็นเมืองอิสระแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออกตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 ในช่วงยุคกลาง เวนิสได้ขยายอำนาจและอิทธิพลแผ่ออกไปทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงคอนสแตนติโนเปิ(ปัจจุบันคือ อีสตันบูล) เป็นเมืองเชื่อมทางการค้ากับทางตะวันออก มีความมั่งคั่งอย่างมหาศาล มีทรัพย์สมบัติทางศิลปะและสถาปัตยกรรมมากมายตลอดเมือง แค่ความงามของ St. Mark’s อย่างเดียวก็สามารถเผยความจริงของเมืองเวนิสประจักษ์ต่อชาวโลก โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 12 ถึง 14 ค่ะ ในปีต่อๆ มาผืนดินก็ค่อยๆ แตกแยกแปลสภาพเป็นรัฐต่างๆ จนกระทั่งปี 1797 ตกไปอยู่ในการปกครองของนโปเลียน และท้ายที่สุดเวนิสเข้าร่วมกลุ่มราชอาณาจักรของอิตาลีในปี 1866 ซึ่งเป็นการนำความเป็นหนึ่งอันเดียวกันเป็นครั้งแรกในประศาสตร์ของประเทศ  ปัจจุบันเวนิสมีบทบาทใหม่ ซึ่งอาคารโบราณต่างๆ นั้นได้กลายเป็น พิพิธภัณฑ์ ร้านค้า โรงแรม และอพาร์ทเมนท์ อย่างไรก็ตาม มนตร์ขลังของความเก่านั้นยังไม่จืดจางเลย
ข้อมูลเมืองเวนิส
สภาพเศรษฐกิจโดยรวม / ระบบเศรษฐกิจ
           เวนิสเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ที่สำคัญด้านฝั่งตะวันออกของอิตาลี เป็นเสมือนประตูสู่แผ่นดินใหญ่ และแถบยุโรปตะวันออก ท่าเรือเวนิชรองรับการขนส่งสินค้าประมาณ 3 แสนตู้ต่อปี และผู้โดยสารทางเรือประมาณ 1.5 ล้านคนต่อปี และยังเป็นเมืองที่เศรฐกิจหลักขึ้นกับการท่องเที่ยว มีนักเที่ยวเข้ามาเที่ยวมากที่สุดติดอันดับหนึ่งของโลก (รองลงมาคือ ปารีส มอสโค และลอนดอน) และมีนักท่องเที่ยวเข้าออกมากตลอดทั้งปี ประมาณ 33 ล้านคนต่อปี นอกจากความสำคัญด้านการท่องเที่ยวแล้วยังเป็นแหล่งอุตสาหกรรม เครื่องแก้ว เครื่องประดับ ผ้าลูกไม้

แหล่งท่องเที่ยวที่นิยม และฤดูท่องเที่ยว
            เวนิสเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวตลอดปี เนื่องจากมีการจัดงานตามเทศ กาล  คอนเสิร์ต โอเปร่า  ละคร งานประกวดภาพยนตร์นานาชาติ งานเทศกาลสินค้า ตลาดนัด นิทรรศการงานศิลปะ การประชุมสัมมนา  การแข่งขันกีฬา และกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวอื่นๆ เฉลี่ยตลอดทั้งปี  งานเทศกาลเก่าแก่และที่มีชื่อได้แก่ งาน Carnevale di venezia จัดประมาณกุมภาพันธ์ทุกปี การแข่งเรือ (Vogalonga)จัด ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ของทุกปี  นอกจากนี้ งานเทศกาลสำคัญอื่นๆ ได้แก่  La festa della Sensa  , Il Redentore  , La Regata Storica  , La festa della Salute  ,La stagione remiera , ฯลฯ

            นอกจากนี้ ยังมีงานขายของเก่า (Antiques Market) ซึ่งเป็นงานขายของที่เก่าแก่จัดเกือบตลอดทั้งปีบริเวณ Campo San Maurizio   ทั้งนี้ เมื่อใกล้เทศกาลคริสมาสจะมีการขายของทั่วทั้ง เมืองได้แก่ งาน Christmas in the Lagoon จัดขายของในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ขายทั้งสิน ค้าอาหารและสินค้าของท้องถิ่นเช่น ผลิตภัณฑ์แก้ว เครื่องประดับแฟชั่น ภาพวาดงานศิลปะ หมวก ของแต่งบ้านและอื่นๆ (www.nataleinlaguna.itงาน Christmas of glass จัดในเกาะมูราโน นอกจากการขายสินค้า เครื่องแก้วของเกาะแล้ว บนเกาะยังมีการแสดงที่น่าสนใจอื่นๆ อีก เพื่อดึง ดูดนักท่องเที่ยว และงานอื่นๆ อีกกว่า 25 งานเทศกาลต่างๆ เป็นการสร้างสีสัน และความคึกคักให้กับเมืองเวนิส สมกับฉายาฟ้าใส ทะเลครามเป็นอย่างดี
 
           เรือกอนโดลา (
Gondola) อีกสัญลักษณ์หนึ่งของเวนิส มีความเชื่อมาว่า ถ้าคู่รักได้จูบกัน เมื่อตอนระฆังปาไนล์ดังตอนเย็น  ขณะลอดข้ามสะพานถอนหายใจ ถือว่าคนนั้นจะรักกันยืนนาน

           สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sigh) สะพานนี้ใช้เดินข้ามเพื่อไปเข้าคุกที่อยู่อีกฝั่ง  วิวที่เห็นจากสะพานนี้จะเป็นวิวที่สวยงามของเมืองเวนิส  แสงสว่างที่เห็นจากช่องสะพาน นักโทษจะได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ยก่อนเข้าคุก  และจะถอนหายใจด้วยเหตุผลนี้   เพราะรู้ตัวว่าจะไม่มีโอกาสเดินออกมาเห็นแสงสว่างอีกแล้ว ตามประวัติมีอยู่คนเดียวที่ได้ออกมาเขาคือ…   คาสโนว่า   นักรักผู้ยิ่งใหญ่
            เรือกอนโดลา (Gondola) เป็นเรือพายพื้นบ้านของชาวเวนิส ใช้เป็นพาหนะหลักของการเดินทางในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี มานานหลายร้อยปี และเป็นสัญลักษณ์ของเวนิสไปซะแล้ว  ถ้าได้ไปเวนิส ต้องไม่พลาดที่จะได้ไปล่องเรือกอนโดลา เพื่อชมเมืองเวนิส
  รูปแบบศิลปะและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม
                            วิหาร เซนต์ มาร์ค (St Mark's Cathedral - Basilica di San Marco )
           มหาวิหารและจตุรัสซานมาร์โก้ (San Marco) ที่โด่งดังไปทั่วโลก เป็นอาคารที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์ อาหรับ โรมันเนสก์ เรอเนซองซ์ เข้าไว้ด้วยกัน มียอดโดมแบบอาหรับ ในมหาวิหารนี้เชื่อว่าบรรจุศพของเซนต์มาร์ก (หรือที่ชาวแคทอลิกในเมืองไทยรู้จักในนามว่ามาระโกผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับพันธสัญญาใหม่บทที่ 3) ที่ (เชื่อกันอีกว่า) ชาวเวนิสไปโขมยมาจากเมืองอเลกซานเดรีย
         ประเทศอียิปต์ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของปลายจตุรัสเซนต์ มาร์ค สร้างครั้งแรกในศตวรรษที่ 9 หลังจากที่ร่างของ เซนต์มาร์ค ถูกโขมย แต่วิหารนั้นก็ถูกไฟไหม้ ในศตวรรษที่ 11 ชาวเวนิสจึงสร้าง
วิหารหลังใหม่ขึ้นมาด้วยการใช้รูปแบบของกรีก และ โดม ห้าโดม มันผสมผสานระหว่างสไตล์ต่างๆ มากมาย เช่น ไบแซนไทน์ (Byzantine) , โกธิค ( Gothic), มอริช (Moorish), และเรอเนซองซ์ (Renaissance) 
คาร์นิวาลในเวนิส
            ทั่วทั้งยุโรป จะมีงานเฉลิมฉลอง เทศกาลคาร์นิวาล ทุกปีในช่วงกลางเดือนกุมภาฯ งานคาร์นิวาลที่เมืองเวนิส จัดว่าเป็นงานที่ไม่ควรพลาดเป็นที่สุด ปกติในเทศกาลคาร์นิวาล คนที่มาร่วมงานก็จะแต่งชุด Custume แปลกๆ สีสันสดใส แต่ในเวนิสไม่เพียงแค่นั้น ที่สำคัญและขาดไม่ได้ คือ ทุกคนต้องสวมหน้ากากด้วย เทศกาลคาร์นิวาล เป็นประเพณี ตั้งแต่สมัยที่เวนิสรุ่งเรืองแล้ว คนที่มาร่วมงานคาร์นิวาลจะต้องสวมหน้ากาก ด้วยเหตุผลที่ว่า คนที่มีฐานะสูงๆในเวนิส เวลามาร่วมสนุกในงาน ต้องการปกปิดฐานะของตนเอง ในงานก็จะสามารถฉลองได้อย่างเต็มที่ (บางครั้งก็อาจไม่ค่อยถูกศีลธรรมมากนัก) จะได้ไม่ต้องกลัวคนรู้จัก และเสื่อมเสียชื่อเสียงภายหลัง
         แต่ปัจจุบัน งานคาร์นิวาล กลายเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเวนิสไปแล้ว หน้ากากไม่ได้มีไว้เพื่อปกปิดตัวเองอีกต่อไป แต่เพื่อความสวยงาม ในสมัยก่อน หน้ากาก มักจะเป็นสีขาวธรรมดา แต่ปัจจุบัน หน้ากากมีหลายดีไซด์ หลากสี ลวดลายสารพัด ถ้าเป็นของผู้ชายก็จะออกเรียบๆ หน่อย ของผู้หญิงก็จะมีของตกแต่งเยอะกว่า ต่อปีมีนักท่องเที่ยวมาร่วมงานนับแสนคน เมืองเวนิสที่เล็กอยู่แล้ว ก็ทำให้ยิ่งเล็กลงไปอีก ถนนสายหลักในเวนิส ช่วงงานคาร์นิวาล บางสายอย่าว่าแต่เดินเลย ที่จะยืนยังไม่มีเลย บางครั้งจะต้องยอมเดินอ้อมๆ เพื่อหลบกระแสมหาชน
          ร้านหน้ากาก มีอยู่ทั่วเมืองเวนิส บ้างร้านก็เปิดโชว์วิธีการทำให้ดู ตั้งแต่ การทำแบบ จนถึง ลงสี และลวดลาย ราคาก็มีตามระดับคุณภาพ ตั้งแต่หน้ากาก mass product ราคาไม่กี่สิบยูโร จนถึงแบบ ต้นตำหรับ ราคาหลักร้อยยูโรเป็นต้นไป เพนต์หน้า เป็นอีกทางเลือกนึง สำหรับคนที่ไม่ชอบใส่หน้ากาก ธุรกิจเพนต์หน้า ในช่วงคาร์นิวาล จะเฟื่องฟูมาก มีแผงลอย มากกว่าสิบแผงให้เลือก เพนต์ ได้ตามอัธยาศัย 




สรุป
            เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เพราะเป็นเมืองที่ติดอันดับเมืองที่สวยที่สุดในโลก เป็นเกาะเล็กๆในทะเล มีการสร้างบ้านเมืองเมืองขึ้นในบริเวณพื้นที่เป็นเกาะเล็กๆน้อยๆถึง 120 เกาะ มีคลองทั้งสิ้น 177 คลอง เชื่อมต่อกันด้วยสะพานมากกว่า 400 สะพาน มีการก่อสร้างต่อเติมตึกรามบ้านช่อง ขยายไปเรื่อยๆในระดับเหนือผิวน้ำเพียงเล็กน้อย ทำให้เวนิส กลายเป็นเมืองใหญ่ ที่มีประวัติยาวนานกว่า 1000 ปี และได้รับฉายาว่า "Queen of the Adriatic” ที่มีอิทธิพลทางการค้าขายทางทะเลในย่านนี้ มานาน ดังนั้นลักษณะคลองของเวนิชจึงไม่ได้เกิดขึ้นตามนิยามของไทยที่ว่า คลองเกิดจากการขุด แต่ของเวนิส เกิดจากการก่อสร้างที่ขยายต่อเติมอาคารบนเกาะเล็กๆจนเหลือผิวน้ำไว้เป็นเส้นทางสัญจร

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ระบบศักดินา


ระบบฟิวดัล(Feudalism)

ระบบฟิวดัล(ระบบศักดินาสวามิภักดิ์)มีที่มาอย่างไรและ เกิดขึ้นได้อย่างไร ?!!?

พื้นฐานและที่มาของระบบ
          ระดับชั้นในระบบศักดินาของตะวันตกเป็นระบบสังคมและเศรษฐกิจที่เป็นระบบที่ใช้ในสังคมของยุโรปอย่างกว้างขวางในยุคกลาง หัวใจของระบบคือการมอบดินแดนให้เป็นการแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนทางการทหาร
          ธรรมชาติของระบบศักดินาเป็นระบบที่สร้างระดับชั้นในสังคม ที่ผู้มีส่วนร่วมต่างก็ทราบฐานะและหน้าที่ของตนในระบบสังคมนั้น ว่ามีความเกี่ยวข้องและรับผิดชอบต่อผู้ใดที่เหนือกว่า และต่ำกว่าตนเองอย่างใด การรักษาความสัมพันธ์ดังว่าเป็นไปตามการสืบดินแดนตามกฎบัตรต่างๆ หรือประเพณีที่วางไว้อย่างเคร่งครัด แต่กฎของประเพณีอันสำคัญที่สุดและปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดที่สุดคือกฎสิทธิของบุตรคนแรกซึ่งหมายความว่าสมบัติ/ที่ดินทุกอย่างของผู้ที่เสียชีวิตต้องตกเป็นของบุตรชายคนโตเท่านั้น
          บุคคลในสังคมระบบศักดินาเป็น "บริวาร" (vassal) หรือ "ข้า" ของประมุข ฉะนั้นจึงต้องสาบานความภักดีต่อประมุข ผู้ที่มีความรับผิดชอบและหน้าที่ในการพิทักษ์และรักษาความยุติธรรมให้แก่ผู้อยู่ภายใต้การปกครอง สังคมระบบศักดินาเป็นสังคมที่สมาชิกในสังคมมีความภักดีและหน้าที่รับผิดชอบต่อกันและกัน เป็นสังคมที่ประกอบด้วยผู้ครองดินแดนผู้เป็นทหารและชนชั้นแรงงานที่เป็นเกษตรกร ขุนนางที่เป็นผู้ครองดินแดนที่ว่านี้ก็รวมทั้งสังฆราชเพราะสังฆราชก็เป็นผู้ครองดินแดนเช่นเดียวกับฆราวาส ชนชั้นที่ต่ำที่สุดในระบบนี้คือเกษตรกร หรือ villiens ต่ำกว่านั้นก็เป็นข้าที่ดิน (serfs)
          ระบบศักดินารุ่งเรืองมาจนกระทั่งเมื่อระบบการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ผู้มีอำนาจจากศูนย์กลางมีความแข็งแกร่งขึ้น ก่อนหน้านั้นผู้มีอำนาจที่แท้จริงคือขุนนางผู้ครองดินแดน ผู้มีเกษตรกรอยู่ภายใต้การปกครองผู้มีหน้าที่เสียค่าธรรมเนียมต่างๆ ระบบการศาลก็เป็นระบบที่ทำกันในท้องถิ่นที่ปกครอง ระบบก็จะแตกต่างกันออกไปบ้างแต่โดยทั่วไปแล้วเกษตรกรก็จะมีที่ดินทำมาหากินแปลงเล็กๆ หรือแปลงที่ร่วมทำกับผู้อื่นที่ใช้เป็นที่ปลูกอาหารสำหรับตนเองและครองครัว และมีสิทธิที่จะหาฟืนจากป่าของผู้ครองดินแดนมาใช้ ระบบที่ใช้กันมากคือระบบการแบ่งที่ดินเป็นผืนยาวๆ รอบดินแดนของมาเนอร์         
          ระบบศักดินาตะวันตกที่วิวัฒนาการขึ้นในขณะที่บ้านเมืองอยู่ในสภาพอันระส่ำระสายในคริสต์ ศตวรรษที่ 8 ในฝรั่งเศสเป็นระบบที่ทำให้สร้างความมีกฎมีระเบียบขึ้นบ้าง การเป็นเจ้าของดินแดนก็อาจจะได้มาโดยการยินยอมหรือการยึดครอง ผู้ครองดินแดนใหญ่ๆ อาจจะได้รับหน้าที่ทางกฎหมายและทางการปกครองจากรัฐบาลกลางพอสมควร เมื่อมาถึงระดับดินแดนในปกครองผู้ครองดินแดนก็อาจจะทำข้อตกลงกับเจ้าของดินแดนที่ย่อยลงไปอื่นๆ ในการก่อตั้งกองทหารท้องถิ่นเพื่อการป้องกันตนเอง ระบบศักดินาเป็นระบบที่มีกฎหมายและจารีตที่เป็นของตนเองที่มามีบทบาทอันสำคัญในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของยุโรปในยุคกลาง ระบบศักดินานำเข้ามาใช้ในอังกฤษโดยสมเด็จพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 แห่งอังกฤษปี พ.ศ. 1609 แต่ทรงริดรอนอำนาจจากขุนนางที่เป็นบริวารของพระองค์เป็นอันมากและใช้ระบบการบริหารจากส่วนกลาง ระบบศักดินามีองค์ประกอบสามอย่าง: เจ้าของที่ดิน, ที่ดิน และ รัฐบาล สมาชิกในระบบศักดินารวมทั้งพระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของระบบ แต่ละคนต่างก็มีอภิสิทธิ์แตกต่างกันไปตามที่ระบุตามกฎระบบศักดินาในการรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่กำหนด
ระดับชั้นในระบบศักดินา
          ระบบศักดินา หรือ ระบบสามนตราช (Feudalism) ของยุโรปนี้แตกต่างจากระบบศักดินาไทยอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นระบบดังกล่าวข้างต้น ที่มีนาย และข้า ถัดลงไปตามลำดับ โดยระดับสูงคือจักรพรรดิที่อาจมีรัฐบริวาร (Vassal) รองลงมาคือ กษัตริย์ และ อาร์คดยุค เช่นในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) กษัตริย์ก็มีข้ารองลงมา ปกครองดินแดนย่อยลงไปคือ ดยุค และถัดไปตามลำดับ ขุนนางและผู้ครองดินแดนของยุโรปแบ่งออกเป็น 5 ระดับดังนี้
1.     ดยุค
2.     มาร์ควิส
3.     เอิร์ล (อังกฤษ) หรือ เคานท์ หรือ มากราฟ (ภาคพื้นยุโรป)
4.     ไวส์เค้านท์
5.     บารอน    

          ตำแหน่งต่างๆ เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งสืบสกุล พระมหากษัตริย์มีสิทธิที่จะพระราชทานตำแหน่งใหม่ หรือเพิกถอน หรือผนวกดินแดนเป็นของหลวง แต่ละตระกูลจะสืบสกุลไปจนกว่าจะสิ้นบุตรชายหรือถูกปลดหรือถูกผนวกโดยดินแดนอื่น ลักษณะของดินแดนที่ครองก็เปลี่ยนไปตามความผันผวนทางการเมือง, การแบ่งแยกที่ดินระหว่างทายาท หรือการรวมตัวกันเป็นสหอาณาจักร และอื่นๆ บางตำแหน่งก็เป็นตำแหน่งเลือกตั้งหรือการเลื่อนระดับเช่นตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครของอาณาจักรสมเด็จพระสังฆราช แม้ว่าผู้ครองดินแดนเหล่านี้อาจจะไม่เป็นข้าราชการโดยตรงแต่ก็มีหน้าที่รับผิดชอบต่อผู้เหนือกว่า ขุนนางเหล่านี้จะมี ที่ดิน หรือ Estate เป็นของตนเอง มีข้าที่ดิน (serfs) คือสามัญชนที่ทำกินในที่ดินของขุนนาง และต้องจ่ายภาษีให้ขุนนางเจ้าของที่ดินนั้น และขุนนางมีอำนาจตัดสินคดีความในเขตของตน และจะต้องส่ง ทหารที่พร้อมรบ ไปรวมทัพกับกษัตริย์ในกรณีที่มีการระดมพล ในการทำสงคราม ขุนนางจะต้องรับผิดชอบ เกณฑ์คนในเขตของตนไปร่วมกองทัพ

ที่มา : http://th.wikipedia.org (วิกิพีเดีย)

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Modernism & Post Modern

ความคิดสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ (mODERNISM & pOST mODERN)

   สังคมที่เราอาศัยอยู่มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาอยู่ตลอดเวลา มีแนวคิดและการปฏิบัติที่แตกต่างขัดแย้งกันอยู่เสมอ แนวคิดและการปฏิบัติถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดปัญหาสังคมทุกยุคทุกสมัย  ในสังคมวิทยา ก็มีการคิดและการปฏิบัติที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง มีการคิดใหม่และทำใหม่อยู่เสมอ  (Meta-theories) ดังนั้น การศึกษาสังคมวิทยาจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาวิเคราะห์รู้เข้าใจแนวความคิดทางสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคสมัยทั้งใหม่และเก่า เพื่อความรู้เข้าใจสังคมวิทยาปัจจุบัน จึงขอเสนอแนวความคิดทางสังคม 2 ประเภท คือ ความคิดสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ (Modernism and Postmodernism) ดังนี้

ความคิดสมัยใหม่ (Modernism)
              เราต้องยอมรับว่า สังคมนี้เป็นสังคมสมัยใหม่ที่เจริญทางวัตถุ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันมีทั้งผลดีและเสีย สร้างทั้งความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมเสีย สังคมมนุษย์เจริญก้าวหน้ามากเท่าไร  มนุษย์ยิ่งจำเป็นต้องการรู้ตนเองและสังคมมากเท่านั้น นักคิดทางสังคมทั้งหลายจึงพยายามศึกษาเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ทั้งหลายในอดีตกับปัจจุบัน เพื่อความรู้เข้าใจความเป็นมนุษย์กับสังคม เห็นความแตกต่างของสิ่งทั้งหลายอย่างชัดเจนที่เป็นไปตามกาลเวลา ตามหลักสัจจธรรมที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอนิจจังไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ในด้านความคิด ความเชื่อ ค่านิยม การปฏิบัติ วิทยาการ  สิ่งประดิษฐ์ และเทคโนโลยีทั้งหลาย เกิดการยอมรับการวิวัฒนาการสังคมกันอย่างแพร่หลาย ยอมรับสิ่งใหม่มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่แทนของเดิม ทำให้ของเดิมที่มีอยู่แล้วกลับถูกมองเห็นว่าเก่าโบราณล้าหลังไม่ทันสมัยไม่ยอมรับกันอีกต่อไป อะไรคือความจริง อะไรคือใหม่ อะไรคือเก่า อะไรคือทันสมัย อะไรคือล้าหลัง
ความคิดสมัยใหม่ (Modernism, Modernity or Modernization) ตาม Habermas (1987) และ Barry Smart กล่าวเอาไว้ว่า เริ่มมีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 มาจากภาษาละตินว่า “modernus = modern” เป็นการพยายามทำให้เกิดความแตกต่างกันใหม่ในชาวคริสต์ จากการนับถือศรัทธาพระเจ้าไปสู่สิ่งอื่น แล้วต่อมาไม่นาน ก็มีการพยายามทำให้เกิดความแตกต่างกันใหม่อีกในชาวคริสต์ จากการนับถือศรัทธาพระเจ้าไปแสวงหาความรู้จริงสิ่งสากล พยายามรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายในสากลโลกตามความเป็นจริง รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายด้วยจิตหรือปัญญา เพราะอิทธิพลแนวความความคิดของคานต์ (Kant’s conception of a universal history) เป็นกระบวนการความแตกต่างทางความคิดและวัฒนธรรมจากเก่าไปสู่ใหม่ (Turner, 1991: 3) เป็นการแสวงหาความรู้จริงของสิ่งต่างๆ ทั้งหลายตามการเปลี่ยนแปลงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของโลกทางสังคม เพราะความเป็นมาของสังคมนี้เชื่อศรัทธาในพระเจ้าเป็นผู้สร้างกำหนดบันดาล ไม่เชื่อมนุษย์และธรรมชาติคือผู้สร้างกำหนดแสดง
              แนวคิดใหม่ทันสมัย นักปราชญ์หรือนักคิดทางสังคมบางคนกล่าวบอกว่า ควรนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 เพราะเป็นยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) แต่นักสังคมวิทยาส่วนใหญ่เห็นว่า แนวคิดใหม่ทันสมัย (Modernism) เป็นยุคประวัติศาสตร์ของสังคมยุโรปตะวันตก ที่เกิดการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพราะในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 เป็นยุคที่สนใจศึกษาค้นคว้าปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบวิทยาศาสตร์ (Scientism) มาช่วยแก้ปัญหาสังคมทั้งหลายที่เกิดขึ้น แล้วส่งผลมีอิทธิพลต่อการศึกษาสังคมวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ของคองต์ในเวลาต่อมา (Comte’s positivism) 

              ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 จึงถือได้ว่าเป็นยุคความคิดใหม่ทันสมัย  (Modernism) อันหมายถึงยุคสมัยให้ความสนใจในเรื่องศิลปะ วรรณคดี วิทยาการ สถาบัน  เหตุผล  การศึกษา เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์  รูปแบบของชีวิต ความจริงของชีวิตบนฐานของความเจริญเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก กล่าวคือเป็นช่วงเวลาแห่งความเจริญทางวัตถุ ความมั่นคงทางสังคม และความรู้เข้าใจตนเอง (Material progress, social stability and self-realization) ในยุโรปตะวันตก มีอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส  อิตาลี เป็นต้น แม้มีปัจจัยต่างๆ มากมายที่ทำให้เกิดสมัยใหม่ ปัจจัยสำคัญเหล่านี้ คือ ความจริง (Truth) เหตุผล (Rationality) วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) ผลของอุตสาหกรรม (Emergence of capitalism) การแผ่อำนาจทางตะวันตก (Western imperialism) การแพร่กระจายความรู้ และอำนาจทางการเมือง (Spread of literature and political power) การขับเคลื่อนทางสังคม (Social mobility)    เป็นสาเหตุสำคัญสนับสนุนส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพัฒนาสังคมโลก ที่เรียกกันว่าสมัยใหม่ความทันสมัย (Modernism)” เพราะผลของความเจริญทางการศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม และการขับเคลื่อนทางสังคม ทำให้มนุษย์ต้องการรู้เข้าใจตนเองและสังคมมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ทำให้ต้องมาคิดใหม่ทำใหม่ เพื่อความถูกต้องดีงามแบบสากล แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโลกร่วมกัน เพื่อความรู้เข้าใจใหม่ร่วมกัน จึงขอลำดับเหตุการณ์การวิวัฒนาการแนวความคิดใหม่ทันสมัย ดังนี้
คริสต์ศตวรรษที่ 14 ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ 
              ในสังคมยุโรปตะวันตก ได้สนใจและค้นพบวิทยาการเก่าๆ ทั้งหลาย โดยเฉาะงานของเพลโต้ (Plato) และอริสโตเติ้ล (Aristotle) ยุคนี้ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูอย่างมาก แต่ก็มีกลุ่มนักคิดนักปราชญ์พยายามปฏิเสธความเชื่อและคำสอนเกี่ยวกับพระเจ้า เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า เป็นสิ่งไม่มีตัวตน มองไม่เห็นสัมผัสจับต้องไม่ได้ เป็นเรื่องงมงายไร้เหตุผลพิสูจน์ไม่ได้ จึงได้เกิดแนวคิดความเชื่อและลัทธิใหม่ขึ้นมา โดยเฉพาะความคิดความเชื่อในเรื่องความเป็นมนุษย์ ความจริงความถูกต้องดีงาม มาแทนความคิดความเชื่อเคารพศรัทธาในเรื่องพระเจ้า พยายามไล่กำจัดพระเจ้าออกไปจากสังคมมนุษย์ เพราะอิทธิพลแนวความคิดของเพลโต้ (Plato) และอริสโตเติ้ล (Aristotle)  มองเห็นคำสอนของศาสนาดั้งเดิมเป็นของเก่าล้าหลังไม่ทันสมัย เป็นการจุดประกายแสวงหาความจริงความถูกต้องดีงามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากถูกปิดกั้นมานาน โดยแนวความคิดความเชื่อที่ว่า  สรรพสิ่งทุกอย่าง มนุษย์ โลก มาจากเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างกำหนดลิขิตบันดาลให้เป็นไปในโลกทางสังคม ทรงเอาพระทัยใส่ใจดูแลทุกสิ่งทุกอย่างให้ดำเนินไปด้วยดี  สร้างมนุษย์ขึ้นมาก็เพื่อให้รู้จักกับพระองค์ท่าน ต้องปฏิบัติตามหลักคำสั่งสอนของพระองค์ท่าน มีความจงรักภักดีศรัทธาในพระองค์ท่าน ตายไปแล้วไปอยู่กับพระองค์ท่านในสวรรค์ ชีวิตเกิดขึ้นเป็นไปตามลิขิตบัญชาของพระองค์ท่านหรือเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นี้ แนวคิดอย่างนี้เชื่อศรัทธาพระเจ้ามีอิทธิพลบทบาทอย่างมากต่อชีวิตและจิตใจของชาวโลกตะวันตกถึงปัจจุบัน
              หากเราสนใจศึกษางานของเพลโต้ (Plato, 427-347 BC) ท่านเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของกรีกและของโลก ที่เดินตามรอยของโสเครตีส (Socrates, 469-399 BC) ผู้เป็นอาจารย์ของท่าน โสเครตีสเกิดหลังพระพุทธเจ้าประมาณ 74 ปี ส่วนเพลโต้ก็ประมาณ 116 ปี  ท่านทั้ง 2 ถือได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมากต่อแนวความคิดทางสังคมและการเมืองตะวันตก (Western socio-political thoughts) โสเครตีสมีความเห็นความเชื่อในเรื่องความจริง ความดี ความงาม เป็นสิ่งสากลมีอยู่แล้วในธรรมชาติ มนุษย์จะดีหรือเลว จะเจริญหรือเสื่อม อยู่ที่ตัวมนุษย์เอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครๆ  เช่นเดียวกับหลักการของพระพุทธศาสนา เขาพยายามสั่งสอนประชาชนให้เป็นคนดีมีปัญญาและคุณธรรม เน้นสอนในเรื่องความดีมีคุณธรรม เน้นสอนในเรื่องความเป็นมนุษย์และศักยภาพของมนุษย์ เชื่อมั่นในการกระทำของมนุษย์ ความดีมีคุณธรรมอยากได้ต้องทำเอง ไม่มีการซื้อขายไม่มีใครมาหยิบยื่นให้หรือไม่มีใครมาดลบันดาลให้ โสเครตีสมีลูกศิษย์มากมายและเป็นที่รักเคารพนับถือของประชาชนทั่วไป การสั่งสอนประชาชนที่ขัดกับหลักคำสอนของศาสนาดั้งเดิม ทำให้เขาถูกฟ้องร้องด้วยข้อหา 3 ข้อ คือ 1. ไม่เคารพนับถือศรัทธาเทพเจ้าของรัฐ 2. ตั้งเทพเจ้าองค์ใหม่ขึ้นมา 3. มั่วสุมมอมเมาเยาวชนให้หลงผิด แม้ผู้พิพากษาบอกว่า หากหยุดสอนประชาชนในเรื่องอย่างนี้ จะปล่อยให้เป็นอิสระไม่เอาผิดลงโทษ ท่านก็ไม่ยอมทำตาม ยังยึดมั่นในความดีถูกต้อง ไม่ยอมเสนอลดโทษให้แก่ตนเอง จึงถูกพิพากษาให้ประหารชีวิตด้วยการดื่มยาพิษ แสดงให้เห็นว่า โสเครตีสไม่กลัวความตาย แต่ท่านกลัวความชั่วมากกว่า ยอมตายถวายชีวิตเพื่อรักษาธรรม ไม่ยอมก้มหัวให้อธรรม จารึกชื่อลือนามไว้ในโลกตราบเท่าทุกวันนี้
คริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ยุคแห่งการสำรวจและปฏิรูปศาสนาคริสต์*

              ความเป็นไปในทุกระบบของสังคม มักมีศาสนาเข้าไปมีอิทธิพลบทบาทเกี่ยวข้องในทุกส่วน ระหว่างยุคกลางสังคมยุโรป (1000 – 1500 AD)  คริสต์ศาสนาอิทธิพลบทบาทอย่างมากในทุกระบบของสังคม การศึกษา เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม เพราะความเจริญเปลี่ยนแปลงทางสังคม การปฏิรูปศาสนาคริสต์โดยคริสต์ศาสนิกชนกลุ่มหนึ่งก็เกิดขึ้น โดยการตั้งนิกายโปรเตสแตนต์ขึ้นมา  เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า คริสต์ศาสนาแบบดั้งเดิมนิกายคาทอลิกเก่าล้าหลังไม่ทันสมัย ไม่ช่วยแก้ปัญหาชีวิตทางสังคมให้ดีขึ้น ซ้ำยังเป็นแหล่งมั่วสุมอิทธิพลผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม และพวกเขาเชื่อว่า คำสอนของนิกายใหม่โปรเตสแตนต์จะช่วยฟื้นฟูสนับสนุนส่งเสริมคำสอนเดิมให้ทันสมัยเหมาะสมกับยุคสมัยอย่างแท้จริง สามารถช่วยแก้ไขปัญหาสังคมได้ ทำให้เกิดการขัดแย้งทางความคิดและการปฏิบัติอย่างรุนแรง สร้างความสับสนสงสัยในศาสนาคำสอนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้คริสต์ศาสนาแบบดั้งเดิมลดอำนาจอิทธิพลและบทบาทลงเป็นอย่างมาก นำไปสู่การแตกแยกระหว่างอาณาจักรและศาสนจักรในเวลาต่อมา

คริสต์ศตวรรษที่ 17 ยุคแห่งวิทยาศาสตร์
              ในศตวรรษนี้ ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลบทบาททางสังคมและการเมืองลดน้อยลงตามลำดับ (Secularization) เมื่อมีความเจริญก้าวหน้าทางการศึกษาและวิทยาศาสตร์มากขึ้น มนุษย์รู้จักใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผล คิดมองเห็นชีวิตและสังคมตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องของเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้เป็นไป แต่เป็นเรื่องของความจริงมีเหตุผล คนเลยหันไปสนใจในความจริงธรรมชาติและเหตุผลมากขึ้น สนใจความเป็นจริงของมนุษย์และโลกทางสังคม ศึกษาหาความรู้ต่างๆ ทั้งหลายที่สามารถพิสูจน์ทดลองได้ตามหลักวิธีการทางวิทยาศาสตร์  ศึกษาค้นคว้าพิสูจน์ทดลองอย่างมีเหตุผลเป็นระเบียบแบบแผน ที่เรียกกันว่าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่” (New science)
              ความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้มนุษย์มีชีวิตที่สะดวกสบายพรั่งพร้อมไปด้วยวัตถุเครื่องอำนวยความสะดวกสมัยใหม่ ละเลยไม่สนใจความสุขทางจิตใจ เป็นสังคมวัตถุหรือวัตถุนิยม ความเจริญทำให้เกิดแนวคิดและทฤษฎีใหม่ต่างๆ มากมาย  ช่วยในการอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและความเร้นลับทั้งหลายที่เคยสงสัยกันมา คำถามที่วิทยาศาสตร์พยายามแสวงหาคำตอบ คือ ความจริงแท้ของความเป็นมนุษย์คืออะไร มนุษย์จะปฏิบัติตนต่อสิ่งต่างๆ ทั้งหลายให้ถูกต้องได้อย่างไร พยายามรู้เข้าใจตนเองและสังคมอย่างถ่องแท้ เป็นคำถามเกี่ยวกับรูปแบบชีวิตและหลักการดำเนินชีวิตจริง โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการหาคำตอบเกี่ยวกับชีวิตและสังคมมนุษย์ ส่งผลให้เกิดการคิดใหม่ เขียนเรียบเรียงใหม่ และตั้งทฤษฎีใหม่ในหลายศาสตร์หลายด้าน (Metatheory = second order accounts of theories or second order theories of theories) ไม่ว่าในวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ แพทยศาสตร์ ไม่ว่าทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และพฤติกรรมมนุษย์ มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงมาตามลำดับ กลายเป็นว่าความรู้แนวคิดทฤษฎีทั้งหลายที่มีอยู่เดิมนั้น ไม่ดีไม่ถูกต้องเที่ยงธรรมไม่มีเหตุผลไร้ประสิทธิภาพประสิทธิผลในการปฏิบัติได้อย่างแท้จริง
              เพื่อเป็นการยืนยันอ้างอิงทฤษฎีที่สร้างขึ้นมาใหม่ (Metatheory) จึงขอเสนอแนวคิดทฤษฎีทางสังคมวิทยาที่เห็นว่าใหม่ล่าสุด  คือ แนวคิดภาพสร้างทางสังคม (Social constructionist approach) แนวคิดภาพสร้างทางสังคม ภาพที่มนุษย์สังเกตเห็นหรือสร้างขึ้นในใจเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายรอบตัวเขา เขาสังเกตเห็นอะไรคิดอะไร สิ่งนั้นก็เป็นภาพสร้างสำหรับเขา แนวคิดภาพสร้างทางสังคม เห็นความจริงทางสังคมประกอบด้วยปรากฏการณ์ทางสังคมหลากหลายมากมาย ที่เกี่ยวกับการกระทำระหว่างกันและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างต่อเนื่อง อันรวมไปถึงความหมาย การแสดง ประสบการณ์ และการปฏิบัติติดต่อ แต่ละคน แต่ละกลุ่มคน แต่ละครอบครอบ แต่ละสถาบัน แต่ละระบบกฎเกณฑ์ และแต่ละปรากฏการณ์ทางสังคมล้วนแสดงกระบวนการที่ซับซ้อนยากที่จะเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคม อันนำไปสู่การสร้างความจริงแห่งโลกทางสังคม จริงๆ มันยากที่จะเข้าใจความหมายขอบเขตปรากฏการณ์ทางสังคมเช่นนั้น  แต่นักสังคมวิทยาก็ได้พัฒนากรอบแนวความคิดเพื่ออธิบายและเข้าใจโลกทางสังคมปัจจุบันว่า ความจริงของโลกทางสังคม มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงลักษณะอย่างต่อเนื่อง 2 ประการ คือ 1. กระบวนการเปลี่ยนแปลงลักษณะในระดับเล็กและใหญ่ (Microscopic-macroscopic continuum) นักสังคมวิทยาสังเกตเห็นว่าโลกทางสังคมมีความจิรงอยู่ 2 ระดับ คือระดับเล็กและใหญ่ อันได้แก่ การกระทำของแต่ละบุคคล (Individual actions) การกระทำระหว่างกันทางสังคม (Social interactions) กลุ่ม (Groups) องค์กร (Organizations) สังคม (Societies) และโลก (World systems) 2. กระบวนการเปลี่ยนแปลงลักษณะวัตถุกับจิต (Objective-subjective continuum) ปรากฏการณ์ทางสังคมวัตถุ (Objective social phenomena) แสดงถึงความจริงมีวัตถุอยู่ หมายถึงผู้กระทำหรือแสดงทางสังคม การกระทำ สัมพันธ์ องค์กร โครงสร้าง และกฎหมาย เป็นที่ทราบกันดีว่า ในความจริงของโลกทางสังคมนี้ ไม่มีแต่ปรากฏการณ์ทางสังคมวัตถุอย่างเดียว แต่ยังประกอบไปด้วยปรากฏการณ์ทางสังคมจิตหรือกระบวนการทางจิต (Subjective social phenomena or mental processes) กระบวนการนี้เป็นลักษณะจิตที่ประกอบด้วยบรรทัดฐาน คุณค่าทางสังคม ทัศนคติ ประเพณี และวัฒนธรรมอื่นๆ เป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างความจริงทางสังคม (Berger and Luckmann, 1967, Edel, 1959: 167, Korenbaum, 1964: IX และ Ritzer, 1996: 642-646) 
              ลักษณะสำคัญของแนวคิดภาพสร้างทางสังคม ก็คือมนุษย์เป็นผู้สร้างความจริงทางสังคม แสดงพฤติกรรมการกระทำระหว่างกันทางสังคม อันได้แก่การแสดงในเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภาษา ประสบการณ์ ความสัมพันธ์ และการปฏิบัติติดต่อ มนุษย์เองเรียนรู้พัฒนาปรังปรุงเปลี่ยนแปลงความหมายความเข้าใจเรื่องโลกและความสัมพันธ์ของพวกเขาตามความเป็นจริงทางสังคม (Ritzer, 1992: 176 และ Hutchison, 1999: 49) ฉะนั้น กระบวนการความจริงทางสังคมจึงประกอบด้วยหลายเหตุหลายปัจจัย มนุษย์จำต้องรู้และเข้าใจตนเองกับกระบวนความจริงทางสังคมเหล่านี้ รู้เข้าใจกระบวนการสังคมตามความจริง แล้วปฏิบัติให้สอดคล้องสัมพันธ์กับกฎเกณฑ์ของมัน ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้องมีเหตุผล คือปฏิบัติถูกต้องมีเหตุผลต่อตนเอง สังคม และสัจจธรรมความจริงทางสังคม อันส่งผลให้ชีวิตและสังคมเป็นระเบียบเรียบร้อยดำเนินไปด้วยดีถูกต้องมีเหตุผลเป็นธรรมมีประสิทธิภาพประสิทธิผลไร้ปัญหา  
            
  การวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมครั้งยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่า สมัยใหม่ทันสมัย (Modernism) ในโลกสังคมตะวันตก ส่งผลมีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมทั้งหลายของโลก เชื่อมโยงใยสัมพันธ์วัฒนธรรมไปทั่วโลกสังคม แพร่กระจายวัฒนธรรม สมัยใหม่ทันสมัยแบบตะวันตกไปทั่วทุกมุมโลก ดังปรากฏการณ์ทางสังคม ดังนี้

ปรากฏการณ์ทางสังคม
              เกิดการศึกษาหาความจริงมีเหตุผลเป็นระเบียบแบบแผน รู้จักใช้ปัญญาสืบหาความจริง รู้จักสังเกตศึกษาเปรียบเทียบพิสูจน์ทดลองตรวจสอบตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป ต้องคิดให้รอบคอบแม่นยำ ต้องมีการศึกษาพิสูจน์ทดลองก่อนแล้วจึงทำ ไม่เชื่ออย่างงมงายไร้เหตุผล พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้วค่อยทำ รู้จักใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผลบนฐานของความจริง  มองเห็นสิ่งต่างๆ ทั้งหลายตามเหตุปัจจัย เห็นโลกและชีวิตตามความเป็นจริง เห็นเชื่อยึดถือปฏิบัติแล้วก่อให้เกิดประโยชน์สุขไร้โทษภัยอันตราย นำชีวิตไปสู่ความเจริญก้าวหน้าดีงามประเสริฐ  อันเป็นเป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งของการศึกษาตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา สอนให้รู้เข้าใจชีวิตและสังคมตามความจริงมีเหตุผล ใช้ชีวิตทางสังคมให้ถูกต้องเหมาะสมสอดคล้องสัมพันธ์กับความจริงของโลกสังคมตามเหตุปัจจัย  รู้ความจริงยอมรับความจริงอยู่กับความจริง  ไม่ให้หนีความจริงไม่หนีจากชีวิตและสังคมปัจจุบัน  ตามที่คนทั่วไปเข้าใจ ศาสนาสอนให้หลุดพ้นไปจากโลก  แม้แต่พระอรหันต์ผู้หมดกิเลสตัณหาก็ยังดำเนินชีวิตในสังคมเป็นปกติ ไม่หลุดพ้นหนีสังคมไปไหน นอกจากท่านตายไป แต่การใช้ชีวิตของท่านเป็นปกติสุข ไม่สร้างปัญหาก่อความเดือดร้อนให้ใคร  เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขของท่านและสังคม
              เกิดการศึกษาความเป็นมนุษย์ ลักษณะความเป็นมนุษย์ บทบาทหน้าที่ความสัมพันธ์มนุษย์ และความเสมอภาคทางสังคม ชี้ไปที่ศักยภาพความสามารถของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ ลักษณะความเป็นมนุษย์ ความรู้ ความสามารถ บทบาท หน้าที่ของมนุษย์ถูกกำหนดสร้างพัฒนาเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมสังคมและวัฒนธรรม ไม่ใช่ทางธรรมชาติหรือสรีระร่างกาย ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ เกิดแนวความคิดความเสมอภาคระหว่างสตรีและบุรุษ สตรีและบุรุษมีฐานะเท่าเทียมกันทางสังคม สังคมและรัฐต้องยอมรับคุ้มครองให้ความเสมอภาค ให้สิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม  ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะทางสังคม  ไม่ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน Simone de Beauvoir (1908-86) นักสตรีนิยมชาวฝรั่งเศสกล่าวยืนยันว่า คนไม่ได้เกิดมาเป็นหญิงหรือชาย แต่เกิดมาเป็นคน สตรีจะเท่าเทียมบุรุษหรือไม่ หากเราตัดข้อจำกัดของสตรีออกไป โดยเฉพาะในเรื่องการแต่งงาน การกำเนิดบุตร และความเป็นแม่ที่มีความรับผิดชอบต่อบุตร (Marriage, childbirth and responsibilities of motherhood) อันส่งผลมีอิทธิพลต่อแนวความคิดความเสมอภาคระหว่างชายหญิงในโลกปัจจุบัน
              ทำให้โลกสังคมเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะความเจริญทางวัตถุ ทำให้ชีวิตมนุษย์มีการเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้น มีการติดต่อสื่อสารกันสะดวกง่ายขึ้น เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว รับรู้ทราบข่าวได้อย่างทันใจ ทำให้เกิดการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม กลายเป็นวัฒนธรรมเสพบริโภค หรือสังคมบริโภค ในทางกลับกัน สร้างมลพิษให้กับชีวิตและสังคมอย่างมาก คุกคามทำลายสังคมและวัฒนธรรม ย่ำยีศีลธรรมและจริยธรรม ท้าทายความอยู่รอดปลอดภัยของมนุษย์ สร้างปัญหาก่อความเดือดร้อนวุ่นวายสับสนให้กับคนและสังคมเป็นอย่างมากเช่นกัน ทำให้คนมีปัญหาสุขภาพกายและจิตใจ ขาดหลักการขาดที่พึ่งไร้หลักการดำเนินชีวิต   ไม่รู้เข้าใจในความจริงความดีและความชั่ว ไม่รู้จะปฏิบัติตนอย่างไร กังวลใจหวั่นไหวไม่มั่นใจในชีวิตและสังคม ตกอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวายเดือดร้อนแก่งแย่งแข่งขันเห็นแก่ตัวตึงเครียดเป็นทุกข์  คนสมัยใหม่จึงไม่มีความหนักแน่นมั่นคงในหลักศีลธรรมและจริยธรรม ไม่สำนึกในคุณค่าความหมายสารประโยชน์ของสิ่งทั้งหลาย มุ่งแสวงหาเสพบริโภควัตถุ ใช้ชีวิตแบบมักง่ายไร้เหตุผลไร้จุดหมายปลายทาง
ปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ
              เกิดอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีการจัดรูปแบบของการผลิตในสังคมอุตสาหกรรมแบบใหม่  ใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิต เพื่อตลาดการค้าระหว่างประเทศอย่างเสรี ต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น โดยการใช้แรงงานที่ชำนาญเฉพาะทาง มีการแบ่งหน้าที่กันอย่างถูกต้องเหมาะสมให้รับผิดชอบ แบ่งงานตามความรู้ ความสามารถ และความถนัด ผลิตสินค้าให้ได้มากที่สุด 
              เกิดการค้าระหว่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศมักถูกจำกัดด้วยค่าภาษี  ธรรมเนียมในการนำเข้าและส่งออกสินค้า เกิดการค้าเสรี พยายามทำการค้าซื้อขายบริการระหว่างประเทศโดยเก็บค่าภาษีและธรรมเนียมต่ำไม่แพง หรือไม่มีการเก็บค่าภาษีและธรรมเนียม ไม่มีการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ ภาครัฐ ภาคเอกชน ปัจเจกบุคคล หรือบริษัท มีสนธิสัญญาเปิดประเทศทำการค้าเสรีกับต่างประเทศ ต่างประเทศมีสิทธิติดต่อซื้อขายกับภาคเอกชนได้อย่างเสรี ภาครัฐเข้าไปแทรกแซงทางการค้าน้อยที่สุด มีสิทธิส่งสินค้าเข้ามาขายได้ทุกประเภท มีการหมุนเวียนของเงินทุนและปัจจัยการผลิตอย่างเสรี 
              มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจดีขึ้น การเป็นอยู่เป็นไปสะดวกสบายขึ้น ขยายธุรกิจกิจการต่างๆ ทั้งหลาย ทำให้มีการลงทุนและเพิ่มทุนมากขึ้น มีความต้องการทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ทำให้คนกระตือรือร้นมากขึ้น มีความขยันขันแข็งทะเยอทะยานทำงานอยู่เสมอ กล้าคิดกล้าเสี่ยงทำกิจการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดทางเศรษฐกิจ คือการได้มาซึ่งเงินทองให้ได้มากที่สุด  เงินคือพระเจ้า ในทางตรงกันข้าม  เมื่ออุตสาหกรรมเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าพัฒนาขึ้น ความกระหายอยากมากเกินไป มีการอพยพเข้ามาทำงานในธุรกิจกิจการมากขึ้น เกิดความหนาแน่นแออันทางสังคมมากขึ้น เกิดการต่อสู้แก่งแย่งแข่งขันเอารัดเอาเปรียบฆ่าทำลายกัน เกิดความเสื่อมโทรมทางสังคมและศีลธรรมอันดีงามตามมา   สร้างปัญหาก่อความไม่สงบให้แก่คนและสังคมอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ปรากฏการณ์ทางการเมือง
              นักคิดนักปราชญ์ทั้งหลายต่างวิพากษ์วิจารณ์ศาสนากันอย่างหนัก ศาสนาเป็นยาเสพติด เป็นสิ่งงมงายไร้สาระ ไม่มีเหตุผลไม่น่าเชื่อถือ ขาดประสิทธิภาพไร้ประสิทธิผล มีผลร้ายมากกว่าผลดีต่อชีวิตและสังคม เพื่อลดอิทธิพลบทบาทศาสนาที่มีต่อระบบการศึกษา สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม  โดยพยายามที่จะชี้ไปที่ความจริงมีเหตุผลสิ่งสากล อันสนับสนุนส่งเสริมในเรื่องความเป็นมนุษย์ ความรู้และคุณธรรมของมนุษย์ ความเสมอภาค กระจายอำนาจ การมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นการสร้างการเมืองการปกครองใหม่แบบประชาธิปไตย (Democracy)” เป็นรูปแบบการปกครองที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง ใช้อำนาจประชาธิปไตยผ่านผู้แทนของตน ผู้แทนหรือรัฐบาลในรูปของคณะบุคคลที่มีอำนาจ ต้องปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการของรัฐ ทำให้ประชาชนสำนึกรู้สึกคุณค่าความหมายของประชาธิปไตย เกิดความเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ เคารพยอมรับยึดถือปฏิบัติเป็นวัฒนธรรม ขึ้นมาแทนการปกครองแบบราชาธิปไตย ซึ่งพระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดเด็ดขาดในการปกครองบริหารประเทศ การปกครองระบอบประชาธิปไตยถือได้ว่าเป็นความทันสมัยในสังคมโลกปัจจุบัน อันมีอำนาจอิทธิพลแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของโลก


ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม
              ในเรื่องความเชื่อและการปฏิบัติ พยายามเห็นความสำคัญความเป็นมนุษย์ ศักยภาพมนุษย์ ศึกษาพัฒนาเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต พยายามรู้เข้าใจความเป็นมนุษย์ สติปัญญา ความสามารถ ความดีมีคุณธรรม และการกระทำของมนุษย์ ดีชั่วอยู่ที่การกระทำของมนุษย์ สูงหรือต่ำอยู่ที่การทำตัวของมนุษย์ ขึ้นอยู่กับการกระทำตามเหตุปัจจัย ไม่ขึ้นอยู่กับเทพเจ้าผู้มีอำนาจดลบันดาล เกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในการกระทำของตนเอง สามารถพึ่งตนเองได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ที่มนุษย์ มนุษย์เป็นผู้สร้างผู้กำหนดและผู้แสดง เพื่อการเป็นอยู่ที่ดีมีเหตุผลพอเพียงของเขาเอง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงผันผวนของสังคมโลกอย่างต่อเนื่อง  
              พยายามรู้เข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด เป็นการเน้นในเรื่องปัญญาความสามารถการกระทำอย่างฉลาดอดทนของตนเอง    ไม่ให้เชื่อถือและปฏิบัติอะไรอย่างงมงายไร้เหตุผล ขอจงดำเนินชีวิตบนพื้นฐานของความดีงามถูกต้องมีเหตุผล ที่สำคัญอย่าประมาทมัวเมาหลงใหลในชีวิต รู้เข้าใจแล้วก็เร่งทำเร่งศึกษาพัฒนา มนุษย์จำต้องศึกษาเรียนรู้พัฒนาตนเอง ศึกษาเรียนรู้หาประสบการณ์ เกิดความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และการประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องมีเหตุผลเพียงพอ จนกระทั่งสามารถคิดเป็น ทำถูก เป็นคนดีมีคุณธรรม เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม สามารถดำเนินชีวิตในสังคมอย่างมีความปกติสุขปราศจากทุกข์ไร้กังวลใจ 
              จากเส้นทางประวัติศาสตร์ความคิดทางสังคมอันยาวนาน แม้พยายามแสวงความรู้จริงอย่างต่อเนื่อง ความรู้เข้าใจตนเองและสังคมอยู่เสมอ ก็ยังไม่สามารถตอบปัญหานี้ได้อย่างแท้จริง แม้แนวคิดทฤษฎีใหม่ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของโลก ผสมผสานหล่อหลอมแนวคิดความเชื่อค่านิยมและการปฏิบัติของคนในสังคมทั้งหลาย ก็ยังหาข้อยุติสรุปไม่ได้ เพราะระดับจิต สติปัญญา และประสบการณ์ของมนุษย์ที่แตกต่างกัน จึงมีแนวความคิดและการปฏิบัติที่ต่างกัน มีการศึกษา ศาสนา สังคม และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป เพราะการเปลี่ยนแปลงพัฒนาก้าวหน้า  การติดต่อสื่อสารสมัยใหม่  การขับเคลื่อนทางสังคม จึงเกิดการเรียนรู้เรียนแบบเอาอย่างทางสังคม  กลายเป็นสังคมและวัฒนธรรมประหนึ่งว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความจริง ความคิดความเชื่อที่แตกต่างกันในเรื่องศาสนานั้นยังไม่สามารถรวมกันได้ ยังปรากฏแตกต่างทางแนวคิดและปฏิบัติตามความเชื่อและประสบการณ์ของตนอยู่ทั่วโลก เรื่องของศาสนากับชีวิตจิตใจในแต่ละสังคมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่สามารถแยกออกจากกันได้  เป็นเรื่องของพลังศรัทธามาก่อนปัญญาเหตุผล ยังคงมีอิทธิพลบทบาทต่อกันและกันอยู่เสมอ ในโลกสังคมตะวันตก แนวคิดและการปฏิบัติของศาสนาคริสต์ยังแพร่กระจายครอบคลุมไปทั่ว ยังเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้คนเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน ทั้งที่สังคมโลกเจริญถึงจุดสูงสุดแล้ว ศาสนาเป็นเรื่องของชีวิตจิตใจ ส่วนวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของวัตถุ ศาสนากับวิทยาศาสตร์จึงเป็นการท้าทายกันระหว่างพลังศรัทธาและปัญญาเหตุผล แต่ก็ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า แนวคิดทฤษฎีและการปฏิบัติทางสังคมและวัฒนธรรมของสังคมตะวันตกถือได้ว่าเป็นแม่แบบสำคัญของสังคมและวัฒนธรรมของโลก ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของสังคมโลกอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง  
              จะเป็นชาวพุทธ คริสต์ หรืออิสลาม นับถือพระเจ้าหรือความจริงมีเหตุผล ความจริงสูงสุดคือพระเจ้า ความจริงสูงสุดคือธรรมชาติที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลาย แล้วปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมกับความจริงของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น นั้นคือวัฒนธรรมอันดีงามของมนุษย์โลก ความดีงามเป็นเรื่องของความจริง คือสัจจธรรม เป็นเรื่องของการปฏิบัติได้ผลจริง คือจริยธรรม และเป็นเรื่องความเจริญรุ่งเรื่องก้าวหน้าของชีวิตจริง คือวัฒนธรรม วัฒนธรรมที่ว่าใหม่ทันสมัย ก่อนที่จะเลียนแบบเอาอย่างเดินตามเขา ควรศึกษาเรียนรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริง รู้เข้าใจเนื้อหาสาระความหมายประโยชน์ มีเหตุผลถูกต้องดีงาม เหมาะสมกับกาลเทศะตนเองและสังคม เป็นที่ยอมรับต้องการของสังคม ค่อยยึดถือปฏิบัติตาม จึงจะเป็นการปฏิบัติสืบสานวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

ความคิดหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) *  
              จากการศึกษาวิเคราะห์สังคมและวัฒนธรรมตะวันตก พอจะได้ภาพปรากฏการณ์ธรรมชาติทั่วไปว่า  สังคมโลกตะวันตกเป็นสังคมที่เจริญพัฒนาถึงจุดสูงสุด พรั่งพร้อมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุ เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ เป็นสังคมที่ผ่านพ้นความเจริญสูงสุดหรือผ่านเลยสังคมอุตสาหกรรมไปแล้ว (Postmodern society or postindustrial society) ผู้คนในยุคนี้หนักไปในการเสพบริโภคใช้สอย ที่เรียกกันว่า สังคมบริโภค (Consumer society) ภูมิหลังทางวัฒนธรรม  เป็นสังคมที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระเจ้า เชื่อศรัทธาในเรื่องเทพเจ้า ในสากลโลกนี้ มีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งทรงพลานุภาพสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด ทรงสร้างสรรค์สรรพสิ่งทุกอย่าง ทรงกำหนดลิขิตบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างตามอำนาจของตน ทรงเอาพระทัยใส่ใจดูแลทุกสิ่งทุกอย่างให้ดำเนินไปด้วยดี สร้างมนุษย์ขึ้นมาก็เพื่อให้รู้จักกับพระองค์ท่าน มนุษย์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหลักคำสั่งสอนของพระองค์ท่าน เพื่อให้พระองค์ท่านโปรดปราน ตายไปแล้วไปอยู่กับพระองค์ท่านในสวรรค์ตลอดกาล ผู้ที่ไม่เคารพศรัทธายำเกรงในพระผู้เป็นเจ้า ตายไปแล้วดวงวิญญาณของเขาก็จะไปอยู่ในนรกตลอดกาลเช่นกัน แนวคิดและการปฏิบัติในลักษณะนี้ยังมีอิทธิพลแพร่กระจายครอบคลุมไปทั่วสังคม แม้ว่าสังคมตะวันตกเจริญพัฒนาถึงจุดสูงสุด พรั่งพร้อมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุ แทนที่จะสุขสมหวังกับความพรั่งพร้อมสมบูรณ์นั้น แต่กลับผิดหวังหาคุณค่าความหมายของชีวิตไม่ได้เหมือนเดิม กลับสร้างปัญหาก่อความเดือดร้อนให้กับสังคมมากกว่าเดิม เพราะขาดแคลนแร้นแค้นวัฒนธรรมทางจิต เกิดวิกฤตการณ์ทางวัฒนธรรมทางจิตอยู่เสมอ สับสนสงสัยไม่รู้เข้าใจในความจริงของชีวิตและหลักการดำเนินชีวิตอย่างต่อเนื่อง พยายามสนใจใฝ่รู้ในเรื่องความเป็นมนุษย์ คุณภาพมนุษย์ และลักษณะมนุษย์ (General sense of humanity, human qualities and identities) ไม่หยุดยั้งแม้แต่ในปัจจุบัน แม้วิทยาการตะวันตกเป็นแม่แบบแพร่กระจายไปทุกวงวิชาการทั่วโลก ความจริง ความรู้ที่เจริญถึงจุดสูงสุดแบบตะวันตกก็ยังไม่สามารถตอบปัญหาชีวิตทางสังคมได้ จึงสำคัญจำเป็นต้องกลับมาคิดทบทวนกระบวนการความคิดและองค์ความรู้ต่างๆ ทั้งหลายกันใหม่ บนพื้นฐานความจริงสมัยใหม่ทันสมัย  
ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ปรากฏแพร่หลายชัดเจน 1970s) ในสังคมโลกตะวันตก เพื่อความเจริญถูกต้องดีงามของชีวิตและสังคม เกิดมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงพัฒนาแนวคิดทางสังคม เป็นการตีความอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมอีกครั้งหนึ่ง ตามปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้น อันนำไปสู่การแตกทำลายหรือมาแทนความคิดสมัยใหม่(Modernism) ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างสมัยใหม่ทันสมัยและหลังสมัยใหม่ เพราะพวกเขาไม่มีความเชื่อมั่นในวิทยาการความรู้ที่มีอยู่ ความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาชีวิตทางสังคมได้อย่างแท้จริง จึงเกิดแนวความคิดทางสังคมตามภาพที่ปรากฏจริงอีกครั้งหนึ่ง ที่เรียกว่า ความคิดหลังสมัยใหม่ทันสมัย (Postmodernism) อันหมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรม ศิลปะ วิทยาการทั้งหลาย ความคิดทฤษฎีทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ความเชื่อและการปฏิบัติ รูปแบบชีวิต หลักการดำเนินชีวิต และเรื่องอื่นๆ ทั้งหลาย ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของโลกสังคมอย่างต่อเนื่องทั้งหมด  
 เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว สังคมปัจจุบันเจริญพัฒนาด้านวัตถุถึงจุดสูงสุด ติดต่อสื่อสารกันอย่างสะดวกรวดเร็วทางอินเตอร์เน็ต เห็นทั้งภาพและได้ยินทั้งเสียง ต้องการอะไรก็กดปุ่มเอาตามใจปรารถนา จะไปไหนมาไหน  จะทำงานหรือเรียนอะไร จะติดต่ออะไร จะฝากเงินถอนเงิน จะซักผ้ารีดผ้า จะกินจะดื่มอะไรก็กดปุ่มเอา เป็นยุคดิจิตอล และกดปุ่ม (Digital and push button age) สะดวกสบายพรั่งพร้อมไปทุกอย่าง แทนที่จะมีความสุขแต่กลับทุกข์เป็นปัญหา แทนที่จะรู้เข้าใจปัญหาที่มีอยู่แต่กลับตอบไม่ได้ ปัญหาที่มีอยู่กลับทวีความรุนแรงหนักเข้าไปอีก ทำให้เขาผิดหวังมาก พยายามหาทางแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลง พยายามคิดกันใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าต่อเนื่อง
              ในโลกแห่งความเป็นจริง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มนุษย์ยังไม่รู้เข้าใจอย่างชัดเจน เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างของเก่ากับใหม่ไม่หยุดยั้ง ชักจูงนำพาสิ่งที่มีอยู่ไปสู่ความจริงขั้นต่อไป มนุษย์ก็พยายามที่จะตามรู้ความจริงของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เพราะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ดีไม่ถูกต้องและไม่มีผลในการปฏิบัติ เป็นการศึกษาเรียนรู้ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นเรื่องความเชื่อและการปฏิบัติคุณค่าและรูปแบบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามวิวัฒนาการทางโลกสังคม อันแสดงให้เห็นว่า วิทยาการความรู้บางอย่างที่มีอยู่ยังไม่เป็นความจริงถูกต้อง จึงจำเป็นต้องพยายามแสวงหาความจริงกันต่อไป ในศตวรรษที่ 21  (คือเริ่มตั้งแต่ 2001) นักคิดทางสังคมทั้งหลายจึงพากันคิดและเก็งกระบวนการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของโลกสังคมจะเป็นไปในทิศทางใด จะเกิดปรากฎการณ์ทางสังคมอย่างไรกันต่อไป

              ศตวรรษนี้ถือได้ว่าเป็นยุคแห่งการสำรวจ พร้อมกับเผยแผ่ศาสนาวัฒนธรรมล่าอาณานิคมหรือล่าเมืองขึ้น (ตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยาของเรา, 1350-1767 AD) วิทยาการที่เจริญก้าวหน้าขึ้นทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์และการเดินเรือ นักสำรวจชาวยุโรปต่างพากันออกทะเลล่องเรือสำรวจโลกใหม่ทั้งทางตะวันตกและตะวันออกที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นทวีปเอเชีย อเมริกา อาฟริกาหรือออสเตรเลีย การเดินทางของพวกเขาถือได้ว่าเป็นการเผยแผ่เชื่อมโยงวัฒนธรรมของโลกเป็นครั้งแรก เป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่กระจาย ความทันสมัยแบบตะวันตกไปทั่วโลก