ความเป็นไปในทุกระบบของสังคม มักมีศาสนาเข้าไปมีอิทธิพลบทบาทเกี่ยวข้องในทุกส่วน ระหว่างยุคกลางสังคมยุโรป (1000 – 1500 AD) คริสต์ศาสนาอิทธิพลบทบาทอย่างมากในทุกระบบของสังคม การศึกษา เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม เพราะความเจริญเปลี่ยนแปลงทางสังคม การปฏิรูปศาสนาคริสต์โดยคริสต์ศาสนิกชนกลุ่มหนึ่งก็เกิดขึ้น โดยการตั้งนิกายโปรเตสแตนต์ขึ้นมา เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า คริสต์ศาสนาแบบดั้งเดิมนิกายคาทอลิกเก่าล้าหลังไม่ทันสมัย ไม่ช่วยแก้ปัญหาชีวิตทางสังคมให้ดีขึ้น ซ้ำยังเป็นแหล่งมั่วสุมอิทธิพลผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม และพวกเขาเชื่อว่า คำสอนของนิกายใหม่โปรเตสแตนต์จะช่วยฟื้นฟูสนับสนุนส่งเสริมคำสอนเดิมให้ทันสมัยเหมาะสมกับยุคสมัยอย่างแท้จริง สามารถช่วยแก้ไขปัญหาสังคมได้ ทำให้เกิดการขัดแย้งทางความคิดและการปฏิบัติอย่างรุนแรง สร้างความสับสนสงสัยในศาสนาคำสอนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้คริสต์ศาสนาแบบดั้งเดิมลดอำนาจอิทธิพลและบทบาทลงเป็นอย่างมาก นำไปสู่การแตกแยกระหว่างอาณาจักรและศาสนจักรในเวลาต่อมา
คริสต์ศตวรรษที่ 17 ยุคแห่งวิทยาศาสตร์
ในศตวรรษนี้ ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลบทบาททางสังคมและการเมืองลดน้อยลงตามลำดับ (Secularization) เมื่อมีความเจริญก้าวหน้าทางการศึกษาและวิทยาศาสตร์มากขึ้น มนุษย์รู้จักใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผล คิดมองเห็นชีวิตและสังคมตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องของเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้เป็นไป แต่เป็นเรื่องของความจริงมีเหตุผล คนเลยหันไปสนใจในความจริงธรรมชาติและเหตุผลมากขึ้น สนใจความเป็นจริงของมนุษย์และโลกทางสังคม ศึกษาหาความรู้ต่างๆ ทั้งหลายที่สามารถพิสูจน์ทดลองได้ตามหลักวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาค้นคว้าพิสูจน์ทดลองอย่างมีเหตุผลเป็นระเบียบแบบแผน ที่เรียกกันว่า “วิทยาศาสตร์สมัยใหม่” (New science)
ความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้มนุษย์มีชีวิตที่สะดวกสบายพรั่งพร้อมไปด้วยวัตถุเครื่องอำนวยความสะดวกสมัยใหม่ ละเลยไม่สนใจความสุขทางจิตใจ เป็นสังคมวัตถุหรือวัตถุนิยม ความเจริญทำให้เกิดแนวคิดและทฤษฎีใหม่ต่างๆ มากมาย ช่วยในการอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและความเร้นลับทั้งหลายที่เคยสงสัยกันมา คำถามที่วิทยาศาสตร์พยายามแสวงหาคำตอบ คือ ความจริงแท้ของความเป็นมนุษย์คืออะไร มนุษย์จะปฏิบัติตนต่อสิ่งต่างๆ ทั้งหลายให้ถูกต้องได้อย่างไร พยายามรู้เข้าใจตนเองและสังคมอย่างถ่องแท้ เป็นคำถามเกี่ยวกับรูปแบบชีวิตและหลักการดำเนินชีวิตจริง โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการหาคำตอบเกี่ยวกับชีวิตและสังคมมนุษย์ ส่งผลให้เกิดการคิดใหม่ เขียนเรียบเรียงใหม่ และตั้งทฤษฎีใหม่ในหลายศาสตร์หลายด้าน (Metatheory = second order accounts of theories or second order theories of theories) ไม่ว่าในวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ แพทยศาสตร์ ไม่ว่าทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และพฤติกรรมมนุษย์ มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงมาตามลำดับ กลายเป็นว่าความรู้แนวคิดทฤษฎีทั้งหลายที่มีอยู่เดิมนั้น ไม่ดีไม่ถูกต้องเที่ยงธรรมไม่มีเหตุผลไร้ประสิทธิภาพประสิทธิผลในการปฏิบัติได้อย่างแท้จริง
เพื่อเป็นการยืนยันอ้างอิงทฤษฎีที่สร้างขึ้นมาใหม่ (Metatheory) จึงขอเสนอแนวคิดทฤษฎีทางสังคมวิทยาที่เห็นว่าใหม่ล่าสุด คือ แนวคิดภาพสร้างทางสังคม (Social constructionist approach) แนวคิดภาพสร้างทางสังคม ภาพที่มนุษย์สังเกตเห็นหรือสร้างขึ้นในใจเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายรอบตัวเขา เขาสังเกตเห็นอะไรคิดอะไร สิ่งนั้นก็เป็นภาพสร้างสำหรับเขา แนวคิดภาพสร้างทางสังคม เห็นความจริงทางสังคมประกอบด้วยปรากฏการณ์ทางสังคมหลากหลายมากมาย ที่เกี่ยวกับการกระทำระหว่างกันและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างต่อเนื่อง อันรวมไปถึงความหมาย การแสดง ประสบการณ์ และการปฏิบัติติดต่อ แต่ละคน แต่ละกลุ่มคน แต่ละครอบครอบ แต่ละสถาบัน แต่ละระบบกฎเกณฑ์ และแต่ละปรากฏการณ์ทางสังคมล้วนแสดงกระบวนการที่ซับซ้อนยากที่จะเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคม อันนำไปสู่การสร้างความจริงแห่งโลกทางสังคม จริงๆ มันยากที่จะเข้าใจความหมายขอบเขตปรากฏการณ์ทางสังคมเช่นนั้น แต่นักสังคมวิทยาก็ได้พัฒนากรอบแนวความคิดเพื่ออธิบายและเข้าใจโลกทางสังคมปัจจุบันว่า ความจริงของโลกทางสังคม มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงลักษณะอย่างต่อเนื่อง 2 ประการ คือ 1. กระบวนการเปลี่ยนแปลงลักษณะในระดับเล็กและใหญ่ (Microscopic-macroscopic continuum) นักสังคมวิทยาสังเกตเห็นว่าโลกทางสังคมมีความจิรงอยู่ 2 ระดับ คือระดับเล็กและใหญ่ อันได้แก่ การกระทำของแต่ละบุคคล (Individual actions) การกระทำระหว่างกันทางสังคม (Social interactions) กลุ่ม (Groups) องค์กร (Organizations) สังคม (Societies) และโลก (World systems) 2. กระบวนการเปลี่ยนแปลงลักษณะวัตถุกับจิต (Objective-subjective continuum) ปรากฏการณ์ทางสังคมวัตถุ (Objective social phenomena) แสดงถึงความจริงมีวัตถุอยู่ หมายถึงผู้กระทำหรือแสดงทางสังคม การกระทำ สัมพันธ์ องค์กร โครงสร้าง และกฎหมาย เป็นที่ทราบกันดีว่า ในความจริงของโลกทางสังคมนี้ ไม่มีแต่ปรากฏการณ์ทางสังคมวัตถุอย่างเดียว แต่ยังประกอบไปด้วยปรากฏการณ์ทางสังคมจิตหรือกระบวนการทางจิต (Subjective social phenomena or mental processes) กระบวนการนี้เป็นลักษณะจิตที่ประกอบด้วยบรรทัดฐาน คุณค่าทางสังคม ทัศนคติ ประเพณี และวัฒนธรรมอื่นๆ เป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างความจริงทางสังคม (Berger and Luckmann, 1967, Edel, 1959: 167, Korenbaum, 1964: IX และ Ritzer, 1996: 642-646)
ลักษณะสำคัญของแนวคิดภาพสร้างทางสังคม ก็คือมนุษย์เป็นผู้สร้างความจริงทางสังคม แสดงพฤติกรรมการกระทำระหว่างกันทางสังคม อันได้แก่การแสดงในเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภาษา ประสบการณ์ ความสัมพันธ์ และการปฏิบัติติดต่อ มนุษย์เองเรียนรู้พัฒนาปรังปรุงเปลี่ยนแปลงความหมายความเข้าใจเรื่องโลกและความสัมพันธ์ของพวกเขาตามความเป็นจริงทางสังคม (Ritzer, 1992: 176 และ Hutchison, 1999: 49) ฉะนั้น กระบวนการความจริงทางสังคมจึงประกอบด้วยหลายเหตุหลายปัจจัย มนุษย์จำต้องรู้และเข้าใจตนเองกับกระบวนความจริงทางสังคมเหล่านี้ รู้เข้าใจกระบวนการสังคมตามความจริง แล้วปฏิบัติให้สอดคล้องสัมพันธ์กับกฎเกณฑ์ของมัน ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้องมีเหตุผล คือปฏิบัติถูกต้องมีเหตุผลต่อตนเอง สังคม และสัจจธรรมความจริงทางสังคม อันส่งผลให้ชีวิตและสังคมเป็นระเบียบเรียบร้อยดำเนินไปด้วยดีถูกต้องมีเหตุผลเป็นธรรมมีประสิทธิภาพประสิทธิผลไร้ปัญหา
การวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมครั้งยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่า สมัยใหม่ทันสมัย (Modernism) ในโลกสังคมตะวันตก ส่งผลมีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมทั้งหลายของโลก เชื่อมโยงใยสัมพันธ์วัฒนธรรมไปทั่วโลกสังคม แพร่กระจายวัฒนธรรม “สมัยใหม่ทันสมัย” แบบตะวันตกไปทั่วทุกมุมโลก ดังปรากฏการณ์ทางสังคม ดังนี้
ปรากฏการณ์ทางสังคม
เกิดการศึกษาหาความจริงมีเหตุผลเป็นระเบียบแบบแผน รู้จักใช้ปัญญาสืบหาความจริง รู้จักสังเกตศึกษาเปรียบเทียบพิสูจน์ทดลองตรวจสอบตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป ต้องคิดให้รอบคอบแม่นยำ ต้องมีการศึกษาพิสูจน์ทดลองก่อนแล้วจึงทำ ไม่เชื่ออย่างงมงายไร้เหตุผล พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้วค่อยทำ รู้จักใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผลบนฐานของความจริง มองเห็นสิ่งต่างๆ ทั้งหลายตามเหตุปัจจัย เห็นโลกและชีวิตตามความเป็นจริง เห็นเชื่อยึดถือปฏิบัติแล้วก่อให้เกิดประโยชน์สุขไร้โทษภัยอันตราย นำชีวิตไปสู่ความเจริญก้าวหน้าดีงามประเสริฐ อันเป็นเป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งของการศึกษาตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา สอนให้รู้เข้าใจชีวิตและสังคมตามความจริงมีเหตุผล ใช้ชีวิตทางสังคมให้ถูกต้องเหมาะสมสอดคล้องสัมพันธ์กับความจริงของโลกสังคมตามเหตุปัจจัย รู้ความจริงยอมรับความจริงอยู่กับความจริง ไม่ให้หนีความจริงไม่หนีจากชีวิตและสังคมปัจจุบัน ตามที่คนทั่วไปเข้าใจ ศาสนาสอนให้หลุดพ้นไปจากโลก แม้แต่พระอรหันต์ผู้หมดกิเลสตัณหาก็ยังดำเนินชีวิตในสังคมเป็นปกติ ไม่หลุดพ้นหนีสังคมไปไหน นอกจากท่านตายไป แต่การใช้ชีวิตของท่านเป็นปกติสุข ไม่สร้างปัญหาก่อความเดือดร้อนให้ใคร เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขของท่านและสังคม
เกิดการศึกษาความเป็นมนุษย์ ลักษณะความเป็นมนุษย์ บทบาทหน้าที่ความสัมพันธ์มนุษย์ และความเสมอภาคทางสังคม ชี้ไปที่ศักยภาพความสามารถของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ ลักษณะความเป็นมนุษย์ ความรู้ ความสามารถ บทบาท หน้าที่ของมนุษย์ถูกกำหนดสร้างพัฒนาเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมสังคมและวัฒนธรรม ไม่ใช่ทางธรรมชาติหรือสรีระร่างกาย ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ เกิดแนวความคิดความเสมอภาคระหว่างสตรีและบุรุษ สตรีและบุรุษมีฐานะเท่าเทียมกันทางสังคม สังคมและรัฐต้องยอมรับคุ้มครองให้ความเสมอภาค ให้สิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะทางสังคม ไม่ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน Simone de Beauvoir (1908-86) นักสตรีนิยมชาวฝรั่งเศสกล่าวยืนยันว่า คนไม่ได้เกิดมาเป็นหญิงหรือชาย แต่เกิดมาเป็นคน สตรีจะเท่าเทียมบุรุษหรือไม่ หากเราตัดข้อจำกัดของสตรีออกไป โดยเฉพาะในเรื่องการแต่งงาน การกำเนิดบุตร และความเป็นแม่ที่มีความรับผิดชอบต่อบุตร (Marriage, childbirth and responsibilities of motherhood) อันส่งผลมีอิทธิพลต่อแนวความคิดความเสมอภาคระหว่างชายหญิงในโลกปัจจุบัน
ทำให้โลกสังคมเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะความเจริญทางวัตถุ ทำให้ชีวิตมนุษย์มีการเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้น มีการติดต่อสื่อสารกันสะดวกง่ายขึ้น เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว รับรู้ทราบข่าวได้อย่างทันใจ ทำให้เกิดการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม กลายเป็นวัฒนธรรมเสพบริโภค หรือสังคมบริโภค ในทางกลับกัน สร้างมลพิษให้กับชีวิตและสังคมอย่างมาก คุกคามทำลายสังคมและวัฒนธรรม ย่ำยีศีลธรรมและจริยธรรม ท้าทายความอยู่รอดปลอดภัยของมนุษย์ สร้างปัญหาก่อความเดือดร้อนวุ่นวายสับสนให้กับคนและสังคมเป็นอย่างมากเช่นกัน ทำให้คนมีปัญหาสุขภาพกายและจิตใจ ขาดหลักการขาดที่พึ่งไร้หลักการดำเนินชีวิต ไม่รู้เข้าใจในความจริงความดีและความชั่ว ไม่รู้จะปฏิบัติตนอย่างไร กังวลใจหวั่นไหวไม่มั่นใจในชีวิตและสังคม ตกอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวายเดือดร้อนแก่งแย่งแข่งขันเห็นแก่ตัวตึงเครียดเป็นทุกข์ คนสมัยใหม่จึงไม่มีความหนักแน่นมั่นคงในหลักศีลธรรมและจริยธรรม ไม่สำนึกในคุณค่าความหมายสารประโยชน์ของสิ่งทั้งหลาย มุ่งแสวงหาเสพบริโภควัตถุ ใช้ชีวิตแบบมักง่ายไร้เหตุผลไร้จุดหมายปลายทาง
ปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ
เกิดอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีการจัดรูปแบบของการผลิตในสังคมอุตสาหกรรมแบบใหม่ ใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิต เพื่อตลาดการค้าระหว่างประเทศอย่างเสรี ต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น โดยการใช้แรงงานที่ชำนาญเฉพาะทาง มีการแบ่งหน้าที่กันอย่างถูกต้องเหมาะสมให้รับผิดชอบ แบ่งงานตามความรู้ ความสามารถ และความถนัด ผลิตสินค้าให้ได้มากที่สุด
เกิดการค้าระหว่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศมักถูกจำกัดด้วยค่าภาษี ธรรมเนียมในการนำเข้าและส่งออกสินค้า เกิดการค้าเสรี พยายามทำการค้าซื้อขายบริการระหว่างประเทศโดยเก็บค่าภาษีและธรรมเนียมต่ำไม่แพง หรือไม่มีการเก็บค่าภาษีและธรรมเนียม ไม่มีการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ ภาครัฐ ภาคเอกชน ปัจเจกบุคคล หรือบริษัท มีสนธิสัญญาเปิดประเทศทำการค้าเสรีกับต่างประเทศ ต่างประเทศมีสิทธิติดต่อซื้อขายกับภาคเอกชนได้อย่างเสรี ภาครัฐเข้าไปแทรกแซงทางการค้าน้อยที่สุด มีสิทธิส่งสินค้าเข้ามาขายได้ทุกประเภท มีการหมุนเวียนของเงินทุนและปัจจัยการผลิตอย่างเสรี
มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจดีขึ้น การเป็นอยู่เป็นไปสะดวกสบายขึ้น ขยายธุรกิจกิจการต่างๆ ทั้งหลาย ทำให้มีการลงทุนและเพิ่มทุนมากขึ้น มีความต้องการทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ทำให้คนกระตือรือร้นมากขึ้น มีความขยันขันแข็งทะเยอทะยานทำงานอยู่เสมอ กล้าคิดกล้าเสี่ยงทำกิจการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดทางเศรษฐกิจ คือการได้มาซึ่งเงินทองให้ได้มากที่สุด เงินคือพระเจ้า ในทางตรงกันข้าม เมื่ออุตสาหกรรมเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าพัฒนาขึ้น ความกระหายอยากมากเกินไป มีการอพยพเข้ามาทำงานในธุรกิจกิจการมากขึ้น เกิดความหนาแน่นแออันทางสังคมมากขึ้น เกิดการต่อสู้แก่งแย่งแข่งขันเอารัดเอาเปรียบฆ่าทำลายกัน เกิดความเสื่อมโทรมทางสังคมและศีลธรรมอันดีงามตามมา สร้างปัญหาก่อความไม่สงบให้แก่คนและสังคมอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ปรากฏการณ์ทางการเมือง
นักคิดนักปราชญ์ทั้งหลายต่างวิพากษ์วิจารณ์ศาสนากันอย่างหนัก ศาสนาเป็นยาเสพติด เป็นสิ่งงมงายไร้สาระ ไม่มีเหตุผลไม่น่าเชื่อถือ ขาดประสิทธิภาพไร้ประสิทธิผล มีผลร้ายมากกว่าผลดีต่อชีวิตและสังคม เพื่อลดอิทธิพลบทบาทศาสนาที่มีต่อระบบการศึกษา สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม โดยพยายามที่จะชี้ไปที่ความจริงมีเหตุผลสิ่งสากล อันสนับสนุนส่งเสริมในเรื่องความเป็นมนุษย์ ความรู้และคุณธรรมของมนุษย์ ความเสมอภาค กระจายอำนาจ การมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นการสร้างการเมืองการปกครองใหม่แบบ “ประชาธิปไตย (Democracy)” เป็นรูปแบบการปกครองที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง ใช้อำนาจประชาธิปไตยผ่านผู้แทนของตน ผู้แทนหรือรัฐบาลในรูปของคณะบุคคลที่มีอำนาจ ต้องปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการของรัฐ ทำให้ประชาชนสำนึกรู้สึกคุณค่าความหมายของประชาธิปไตย เกิดความเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ เคารพยอมรับยึดถือปฏิบัติเป็นวัฒนธรรม ขึ้นมาแทนการปกครองแบบราชาธิปไตย ซึ่งพระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดเด็ดขาดในการปกครองบริหารประเทศ การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ถือได้ว่าเป็นความทันสมัยในสังคมโลกปัจจุบัน อันมีอำนาจอิทธิพลแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของโลก
ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม
ในเรื่องความเชื่อและการปฏิบัติ พยายามเห็นความสำคัญความเป็นมนุษย์ ศักยภาพมนุษย์ ศึกษาพัฒนาเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต พยายามรู้เข้าใจความเป็นมนุษย์ สติปัญญา ความสามารถ ความดีมีคุณธรรม และการกระทำของมนุษย์ ดีชั่วอยู่ที่การกระทำของมนุษย์ สูงหรือต่ำอยู่ที่การทำตัวของมนุษย์ ขึ้นอยู่กับการกระทำตามเหตุปัจจัย ไม่ขึ้นอยู่กับเทพเจ้าผู้มีอำนาจดลบันดาล เกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในการกระทำของตนเอง สามารถพึ่งตนเองได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ที่มนุษย์ มนุษย์เป็นผู้สร้างผู้กำหนดและผู้แสดง เพื่อการเป็นอยู่ที่ดีมีเหตุผลพอเพียงของเขาเอง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงผันผวนของสังคมโลกอย่างต่อเนื่อง
พยายามรู้เข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด เป็นการเน้นในเรื่องปัญญาความสามารถการกระทำอย่างฉลาดอดทนของตนเอง ไม่ให้เชื่อถือและปฏิบัติอะไรอย่างงมงายไร้เหตุผล ขอจงดำเนินชีวิตบนพื้นฐานของความดีงามถูกต้องมีเหตุผล ที่สำคัญอย่าประมาทมัวเมาหลงใหลในชีวิต รู้เข้าใจแล้วก็เร่งทำเร่งศึกษาพัฒนา มนุษย์จำต้องศึกษาเรียนรู้พัฒนาตนเอง ศึกษาเรียนรู้หาประสบการณ์ เกิดความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และการประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องมีเหตุผลเพียงพอ จนกระทั่งสามารถคิดเป็น ทำถูก เป็นคนดีมีคุณธรรม เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม สามารถดำเนินชีวิตในสังคมอย่างมีความปกติสุขปราศจากทุกข์ไร้กังวลใจ
จากเส้นทางประวัติศาสตร์ความคิดทางสังคมอันยาวนาน แม้พยายามแสวงความรู้จริงอย่างต่อเนื่อง ความรู้เข้าใจตนเองและสังคมอยู่เสมอ ก็ยังไม่สามารถตอบปัญหานี้ได้อย่างแท้จริง แม้แนวคิดทฤษฎีใหม่ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของโลก ผสมผสานหล่อหลอมแนวคิดความเชื่อค่านิยมและการปฏิบัติของคนในสังคมทั้งหลาย ก็ยังหาข้อยุติสรุปไม่ได้ เพราะระดับจิต สติปัญญา และประสบการณ์ของมนุษย์ที่แตกต่างกัน จึงมีแนวความคิดและการปฏิบัติที่ต่างกัน มีการศึกษา ศาสนา สังคม และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป เพราะการเปลี่ยนแปลงพัฒนาก้าวหน้า การติดต่อสื่อสารสมัยใหม่ การขับเคลื่อนทางสังคม จึงเกิดการเรียนรู้เรียนแบบเอาอย่างทางสังคม กลายเป็นสังคมและวัฒนธรรมประหนึ่งว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความจริง ความคิดความเชื่อที่แตกต่างกันในเรื่องศาสนานั้นยังไม่สามารถรวมกันได้ ยังปรากฏแตกต่างทางแนวคิดและปฏิบัติตามความเชื่อและประสบการณ์ของตนอยู่ทั่วโลก เรื่องของศาสนากับชีวิตจิตใจในแต่ละสังคมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เป็นเรื่องของพลังศรัทธามาก่อนปัญญาเหตุผล ยังคงมีอิทธิพลบทบาทต่อกันและกันอยู่เสมอ ในโลกสังคมตะวันตก แนวคิดและการปฏิบัติของศาสนาคริสต์ยังแพร่กระจายครอบคลุมไปทั่ว ยังเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้คนเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน ทั้งที่สังคมโลกเจริญถึงจุดสูงสุดแล้ว ศาสนาเป็นเรื่องของชีวิตจิตใจ ส่วนวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของวัตถุ ศาสนากับวิทยาศาสตร์จึงเป็นการท้าทายกันระหว่างพลังศรัทธาและปัญญาเหตุผล แต่ก็ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า แนวคิดทฤษฎีและการปฏิบัติทางสังคมและวัฒนธรรมของสังคมตะวันตกถือได้ว่าเป็นแม่แบบสำคัญของสังคมและวัฒนธรรมของโลก ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของสังคมโลกอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง
จะเป็นชาวพุทธ คริสต์ หรืออิสลาม นับถือพระเจ้าหรือความจริงมีเหตุผล ความจริงสูงสุดคือพระเจ้า ความจริงสูงสุดคือธรรมชาติที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลาย แล้วปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมกับความจริงของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น นั้นคือวัฒนธรรมอันดีงามของมนุษย์โลก ความดีงามเป็นเรื่องของความจริง คือสัจจธรรม เป็นเรื่องของการปฏิบัติได้ผลจริง คือจริยธรรม และเป็นเรื่องความเจริญรุ่งเรื่องก้าวหน้าของชีวิตจริง คือวัฒนธรรม วัฒนธรรมที่ว่าใหม่ทันสมัย ก่อนที่จะเลียนแบบเอาอย่างเดินตามเขา ควรศึกษาเรียนรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริง รู้เข้าใจเนื้อหาสาระความหมายประโยชน์ มีเหตุผลถูกต้องดีงาม เหมาะสมกับกาลเทศะตนเองและสังคม เป็นที่ยอมรับต้องการของสังคม ค่อยยึดถือปฏิบัติตาม จึงจะเป็นการปฏิบัติสืบสานวัฒนธรรมอย่างแท้จริง
ความคิดหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) *
จากการศึกษาวิเคราะห์สังคมและวัฒนธรรมตะวันตก พอจะได้ภาพปรากฏการณ์ธรรมชาติทั่วไปว่า สังคมโลกตะวันตกเป็นสังคมที่เจริญพัฒนาถึงจุดสูงสุด พรั่งพร้อมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุ เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ เป็นสังคมที่ผ่านพ้นความเจริญสูงสุดหรือผ่านเลยสังคมอุตสาหกรรมไปแล้ว (Postmodern society or postindustrial society) ผู้คนในยุคนี้หนักไปในการเสพบริโภคใช้สอย ที่เรียกกันว่า สังคมบริโภค (Consumer society) ภูมิหลังทางวัฒนธรรม เป็นสังคมที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระเจ้า เชื่อศรัทธาในเรื่องเทพเจ้า ในสากลโลกนี้ มีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งทรงพลานุภาพสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด ทรงสร้างสรรค์สรรพสิ่งทุกอย่าง ทรงกำหนดลิขิตบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างตามอำนาจของตน ทรงเอาพระทัยใส่ใจดูแลทุกสิ่งทุกอย่างให้ดำเนินไปด้วยดี สร้างมนุษย์ขึ้นมาก็เพื่อให้รู้จักกับพระองค์ท่าน มนุษย์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหลักคำสั่งสอนของพระองค์ท่าน เพื่อให้พระองค์ท่านโปรดปราน ตายไปแล้วไปอยู่กับพระองค์ท่านในสวรรค์ตลอดกาล ผู้ที่ไม่เคารพศรัทธายำเกรงในพระผู้เป็นเจ้า ตายไปแล้วดวงวิญญาณของเขาก็จะไปอยู่ในนรกตลอดกาลเช่นกัน แนวคิดและการปฏิบัติในลักษณะนี้ยังมีอิทธิพลแพร่กระจายครอบคลุมไปทั่วสังคม แม้ว่าสังคมตะวันตกเจริญพัฒนาถึงจุดสูงสุด พรั่งพร้อมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุ แทนที่จะสุขสมหวังกับความพรั่งพร้อมสมบูรณ์นั้น แต่กลับผิดหวังหาคุณค่าความหมายของชีวิตไม่ได้เหมือนเดิม กลับสร้างปัญหาก่อความเดือดร้อนให้กับสังคมมากกว่าเดิม เพราะขาดแคลนแร้นแค้นวัฒนธรรมทางจิต เกิดวิกฤตการณ์ทางวัฒนธรรมทางจิตอยู่เสมอ สับสนสงสัยไม่รู้เข้าใจในความจริงของชีวิตและหลักการดำเนินชีวิตอย่างต่อเนื่อง พยายามสนใจใฝ่รู้ในเรื่องความเป็นมนุษย์ คุณภาพมนุษย์ และลักษณะมนุษย์ (General sense of humanity, human qualities and identities) ไม่หยุดยั้งแม้แต่ในปัจจุบัน แม้วิทยาการตะวันตกเป็นแม่แบบแพร่กระจายไปทุกวงวิชาการทั่วโลก ความจริง ความรู้ที่เจริญถึงจุดสูงสุดแบบตะวันตกก็ยังไม่สามารถตอบปัญหาชีวิตทางสังคมได้ จึงสำคัญจำเป็นต้องกลับมาคิดทบทวนกระบวนการความคิดและองค์ความรู้ต่างๆ ทั้งหลายกันใหม่ บนพื้นฐานความจริงสมัยใหม่ทันสมัย
ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ปรากฏแพร่หลายชัดเจน 1970s) ในสังคมโลกตะวันตก เพื่อความเจริญถูกต้องดีงามของชีวิตและสังคม เกิดมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงพัฒนาแนวคิดทางสังคม เป็นการตีความอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมอีกครั้งหนึ่ง ตามปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้น อันนำไปสู่การแตกทำลายหรือมาแทนความคิดสมัยใหม่(Modernism) ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างสมัยใหม่ทันสมัยและหลังสมัยใหม่ เพราะพวกเขาไม่มีความเชื่อมั่นในวิทยาการความรู้ที่มีอยู่ ความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาชีวิตทางสังคมได้อย่างแท้จริง จึงเกิดแนวความคิดทางสังคมตามภาพที่ปรากฏจริงอีกครั้งหนึ่ง ที่เรียกว่า ความคิดหลังสมัยใหม่ทันสมัย (Postmodernism) อันหมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรม ศิลปะ วิทยาการทั้งหลาย ความคิดทฤษฎีทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ความเชื่อและการปฏิบัติ รูปแบบชีวิต หลักการดำเนินชีวิต และเรื่องอื่นๆ ทั้งหลาย ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของโลกสังคมอย่างต่อเนื่องทั้งหมด
เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว สังคมปัจจุบันเจริญพัฒนาด้านวัตถุถึงจุดสูงสุด ติดต่อสื่อสารกันอย่างสะดวกรวดเร็วทางอินเตอร์เน็ต เห็นทั้งภาพและได้ยินทั้งเสียง ต้องการอะไรก็กดปุ่มเอาตามใจปรารถนา จะไปไหนมาไหน จะทำงานหรือเรียนอะไร จะติดต่ออะไร จะฝากเงินถอนเงิน จะซักผ้ารีดผ้า จะกินจะดื่มอะไรก็กดปุ่มเอา เป็นยุคดิจิตอล และกดปุ่ม (Digital and push button age) สะดวกสบายพรั่งพร้อมไปทุกอย่าง แทนที่จะมีความสุขแต่กลับทุกข์เป็นปัญหา แทนที่จะรู้เข้าใจปัญหาที่มีอยู่แต่กลับตอบไม่ได้ ปัญหาที่มีอยู่กลับทวีความรุนแรงหนักเข้าไปอีก ทำให้เขาผิดหวังมาก พยายามหาทางแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลง พยายามคิดกันใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าต่อเนื่อง
ในโลกแห่งความเป็นจริง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มนุษย์ยังไม่รู้เข้าใจอย่างชัดเจน เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างของเก่ากับใหม่ไม่หยุดยั้ง ชักจูงนำพาสิ่งที่มีอยู่ไปสู่ความจริงขั้นต่อไป มนุษย์ก็พยายามที่จะตามรู้ความจริงของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เพราะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ดีไม่ถูกต้องและไม่มีผลในการปฏิบัติ เป็นการศึกษาเรียนรู้ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นเรื่องความเชื่อและการปฏิบัติคุณค่าและรูปแบบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามวิวัฒนาการทางโลกสังคม อันแสดงให้เห็นว่า วิทยาการความรู้บางอย่างที่มีอยู่ยังไม่เป็นความจริงถูกต้อง จึงจำเป็นต้องพยายามแสวงหาความจริงกันต่อไป ในศตวรรษที่ 21 (คือเริ่มตั้งแต่ 2001) นักคิดทางสังคมทั้งหลายจึงพากันคิดและเก็งกระบวนการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของโลกสังคมจะเป็นไปในทิศทางใด จะเกิดปรากฎการณ์ทางสังคมอย่างไรกันต่อไป